ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2025 ว่า จะเก็บภาษี 30% สำหรับสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากสหภาพยุโรปและเม็กซิโก โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อประเทศคู่ค้าให้ยอมอ่อนข้อในการเจรจา
เควิน แฮสเซ็ตต์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวกล่าวในรายการ This Week ของสถานีข่าว ABC ว่า ข้อเสนอข้อตกลงทางการค้าจากประเทศต่าง ๆ ที่ผ่านมา ยังไม่เป็นที่พอใจของประธานาธิบดีทรัมป์และข้อตกลงเหล่านี้จำเป็นต้องดีกว่านี้ จึงมีการส่งจดหมายกดดันไปยังหลายรัฐบาล
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าวว่า สหภาพยุโรปจะคงแนวทางสองทางไว้เช่นเดิม ได้แก่ การเดินหน้าเจรจาและการเตรียมมาตรการตอบโต้ไปพร้อมกัน
แผนแรก ตอบโต้ภาษี 50% ที่สหรัฐเรียกเก็บกับเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า กระทบสินค้าสหรัฐมูลค่า 21,000 ล้านยูโร (ขยายเวลาระงับการใช้มาตรการไว้ 90 วัน ตั้งแต่เดือนเมษายน)
แผนที่สอง ตอบโต้ภาษีรอบใหม่ที่ทรัมป์ประกาศในเดือนพฤษภาคม มูลค่ารวม 72,000 ล้านยูโร (ยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และต้องผ่านความเห็นชอบจากสมาชิก)
แม้ยุโรปยังไม่ตอบโต้สหรัฐฯ ในทันที แต่ก็ได้ขยายเวลาระงับมาตรการตอบโต้ไปจนถึงต้นเดือนสิงหาคม เพื่อเปิดทางเจรจาต่อไป โดยฟอน แดร์ ไลเอินเน้นว่าต้องใช้เวลาที่เหลืออย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อมไว้ในกรณีที่เจรจาไม่สำเร็จ
ฟรีดริช เมิร์ซ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ระบุว่า หากภาษี 30% มีผลบังคับจริง เยอรมนีอาจต้องเลื่อนความพยายามนโยบายเศรษฐกิจใหญ่หลายด้านออกไป เพราะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมส่งออก
ขณะเดียวกัน เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ ลาร์ส คลิงไบล์ รัฐมนตรีคลังเยอรมนี ต่างเห็นพ้องว่าสหภาพยุโรปอาจจำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้ที่เด็ดขาด หากการเจรจาไม่บรรลุผล โดยมาครงเน้นว่าคณะกรรมาธิการยุโรปต้องแสดงความมุ่งมั่นในการปกป้องผลประโยชน์ของยุโรปอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมเตรียมใช้ เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับ
จากรายงานของ Carbon Brief ระบุว่า เมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป และภาษี 25% สำหรับรถยนต์และสินค้าประเภทอื่น ๆ รวมถึงเหล็กและอะลูมิเนียมจากยุโรป
สหภาพยุโรปตอบโต้ด้วยมาตรการเพื่อจัดการกับภัยคุกคามจากสหรัฐฯ ขณะที่ทรัมป์ปฏิเสธข้อเสนอในการยกเลิกภาษีรถยนต์และสินค้าอุตสาหกรรมแบบสองฝ่าย โดยระบุชัดเจนว่า หนทางเดียวที่จะยุติสงครามภาษี คือให้ยุโรปซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ โดยหลักคือก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)
แม้ปัจจุบัน LNG ที่ยุโรปนำเข้า 50% มาจากสหรัฐฯ อยู่แล้ว และยุโรปได้หันไปหาสหรัฐฯ เพื่อทดแทนก๊าซรัสเซียโดยอิสระอยู่ก่อน รวมถึงเสนอแผน Affordable Energy Action Plan เพื่อรวบรวมความต้องการร่วมกันของภูมิภาค แต่รายงานเตือนว่าผลกระทบอาจลึกซึ้งกว่าด้านการค้า
ปี 2023 ดุลการค้าในสินค้าและบริการระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปต่างกันเพียง 3% เท่านั้น ไม่ใช่ความไม่สมดุลที่รุนแรงถึงขั้นต้องเปิดสงครามการค้า แต่หากมองเฉพาะสินค้า พบว่าสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ ไปยุโรปกว่า 50% เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิล ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม หรือเทคโนโลยีที่ใช้พลังงาน เช่น น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องยนต์ อากาศยาน และก๊าซ ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่เผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศภายใต้ข้อตกลงระดับโลก เช่น ข้อตกลงปารีส
จากมุมมองนี้ รายงานชี้ว่า ความขัดแย้งที่ริเริ่มโดยสหรัฐฯ จึงเกินกว่าการค้าก๊าซธรรมดา แต่อาจสะท้อนถึงความพยายามที่จะบ่อนทำลายนโยบาย Green Deal ของยุโรป
รายงานของ Carbon Brief ยังเปิดเผยว่า ข้อตกลงที่ผูกการลดภาษีเข้ากับการซื้อ LNG จากสหรัฐฯ ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจทำให้ยุโรปถอยหลังจากเป้าหมายสิ่งแวดล้อม การซื้อ LNG มูลค่าสูงอาจทำให้ประเทศสมาชิก EU ต้องชะลอการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะถ้าโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือและโรงแยกก๊าซ ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
รายงานยังเตือนว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อเปิดตลาดให้พลังงานฟอสซิล โดยเฉพาะ LNG ซึ่งมีกำลังการผลิตล้นเหลือหลังการปฏิวัติเชลก๊าซ ความพยายามผลักดันให้ยุโรปซื้อเพิ่มในระดับที่เกินความจำเป็น อาจทำให้ยุโรปสูญเสียความยืดหยุ่นในอนาคต
ขณะเดียวกัน การทำสัญญาซื้อ LNG ระยะยาวกับสหรัฐฯ อาจทำให้หลายประเทศในยุโรปต้องใช้ก๊าซฟอสซิลไปจนถึงกลางศตวรรษ ซึ่งจะขัดกับเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยข้อตกลงแบบนี้อาจกลายเป็นพันธะระยะยาวที่กัดกร่อนพันธกิจด้านสภาพภูมิอากาศของยุโรป
เหตุใดข้อตกลงกรีนจึงเป็นภัยคุกคามต่อทรัมป์
Carbon Brief รายงานว่า ข้อตกลงกรีนนั้น ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อภาคส่วนของสหรัฐฯ ทำให้ยุโรปสร้างความเป็นอิสระ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความสามารถในการแข่งขัน โดยค่อย ๆ ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
ภาคการผลิตไฟฟ้าของสหภาพยุโรปเพียงอย่างเดียว การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลลดลงเป็นประวัติการณ์ 19% ในปี 2023 ขณะที่พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 44% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยพลังงานลมและแสงอาทิตย์เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นับตั้งแต่เริ่มต้นข้อตกลงกรีนในปี 2019 เพียงสองแหล่งนี้ช่วยหลีกเลี่ยงการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลมูลค่า 59 พันล้านยูโร
สิ่งนี้เป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้สหรัฐฯ เสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศเกิดใหม่ที่กำลังเติบโตในเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่าน
เป้าหมายของสหรัฐฯ จึงไม่ใช่แค่ “ขายก๊าซเพื่อลดดุลการค้า” แต่เพื่อบังคับให้ยุโรปต้องทำสัญญาซื้อระยะยาว ซึ่งจะขัดขวางไม่ให้ยุโรปสร้างความเป็นอิสระและความสามารถในการแข่งขันด้านพลังงานของตนเอง รวมถึงการเปิดรับซัพพลายเออร์ใหม่ ๆ ในตลาดโลก
เหตุผลเดียวกันนี้ยังใช้กับเทคโนโลยีฟอสซิลในภาคปลายทาง เช่น ภาคยานยนต์ กฎระเบียบด้านรถยนต์ของคณะกรรมาธิการยุโรปถูกตีความอย่างไม่ถูกต้องว่าเป็นข้อจำกัดทางการตลาด ซึ่งนำมาใช้เพื่ออ้างเหตุผลในการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ
เป้าหมายการลดคาร์บอนของสหภาพยุโรปในภาคยานยนต์นั้น ค่อย ๆ ตัดรถยนต์แบบเดิมออกจากตลาด และเปลี่ยนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปจากสินค้าหรูหรา (Tesla ครองตลาด) สู่สินค้าทั่วไปในตลาดมวลชน ซึ่งสหรัฐฯ มีจุดอ่อนกว่าทั้งจีนและอุตสาหกรรมยุโรปที่ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของสหภาพยุโรป